เปรียบเทียบ would กับ used to: เคยทำอะไรในอดีตพูดแบบไหนดี?

เปรียบเทียบ would กับ used to เคยทำอะไรในอดีตพูดแบบไหนดี?

Wouldใช้ยังไงดีเวลาเล่าเรื่องอดีต? ความแตกต่างของ “would” กับ “used to” ใช้อย่างไร เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวเปลี่ยนชีวิตได้จริง

Would ใช้ยังไงดี เวลาเล่าเรื่องอดีต?

การใช้ would ในการเล่าเรื่องอดีตเป็นการช่วยให้เรื่องราวที่เรากำลังเล่ามีสีสันและความลึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราต้องการบอกถึงการกระทำที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือสิ่งที่เคยทำเป็นประจำในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เช่น การเล่าเรื่องเกี่ยวกับวัยเด็ก ความทรงจำในอดีต หรือการบอกเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตผ่านการกระทำที่เป็นธรรมชาติและสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้ “would” ยังช่วยสร้างความรู้สึกของความคุ้นเคยและความเป็นธรรมชาติในการเล่าเรื่องอดีตให้มีชีวิตชีวามากขึ้น

1.การทำอะไรซ้ำๆ ในอดีต

“When I was a child, I would visit my grandmother every weekend.”
(ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันจะไปเยี่ยมคุณยายทุกสุดสัปดาห์) ในประโยคนี้เป็นการใช้ would เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่ปกติเกิดขึ้นในอดีต 

2.การแสดงพฤติกรรมหรือความรู้สึกในอดีต

“He would always wake up early to watch the sunrise.”
(เขามักจะตื่นแต่เช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น) 

3.การพูดถึงสถานการณ์สมมุติในอดีต (มักจะใช้ในรูปแบบของการตั้งคำถามหรือประโยคเงื่อนไข)

“I would have helped if I had known about the problem.”
(ฉันคงจะช่วยถ้าฉันรู้เรื่องปัญหานั้น) การใช้ would ในประโยคนี้ไม่ได้แสดงถึงการกระทำซ้ำ แต่เป็นสิ่งที่สมมติ หรืออาจเกิดขึ้นในอดีต แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ความแตกต่างของ “would” กับ “used to” ใช้อย่างไร

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “would” และ “used to” เป็นสิ่งสำคัญในการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะทั้งสองคำนี้ช่วยให้เราสามารถพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แม้ว่าทั้งสองคำจะใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์หรือการกระทำในอดีตที่เคยเกิดขึ้น แต่มีความแตกต่างในแง่ของวิธีการใช้งานและสิ่งที่แต่ละคำสื่อถึง ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า “would”และ “used to” ต่างกันอย่างไร และเมื่อไหร่ที่ควรเลือกใช้แต่ละคำให้ถูก

คำว่า “would” และ “used to” ทั้งสองคำนี้ใช้พูดถึงสิ่งที่เคยทำในอดีต แต่มีความแตกต่างในการใช้งาน ดังนี้

1. “Would”

ใช้เพื่อบอกถึงการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือเป็นประจำในอดีต ซึ่งหมายถึงกิจกรรมหรือการกระทำที่ทำซ้ำ ๆ หรือเป็นนิสัยในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต แต่ไม่เน้นถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือสิ่งที่เคยเป็นอยู่ในอดีตแบบถาวร

ตัวอย่าง: I would go to the park every weekend when I was a child. (ตอนเด็ก ๆ ฉันจะไปที่สวนทุกสุดสัปดาห์)

When we were young, we would play outside until dark. (ตอนที่เราเด็ก ๆ เราจะเล่นข้างนอกจนมืด)

ข้อควรจำ: “Would” มักจะไม่ใช้กับสถานการณ์ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงหรือสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หรือไม่สามารถใช้ได้กับการกล่าวถึงสิ่งที่เคยเป็นอยู่ (สถานะ) เช่น การอยู่ในที่เดียวกัน

2. “Used to”

ใช้ในการบอกถึงการกระทำหรือสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำหรือไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้วในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เคยเป็นอยู่หรือกิจกรรมที่เคยทำ แต่สถานการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว การใช้ “used to” จึงแสดงถึงความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

ตัวอย่าง: I used to live in New York, but now I live in Bangkok. (เคยอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก แต่ตอนนี้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ)

He used to play the guitar, but now he doesn’t. (เขาเคยเล่นกีตาร์ แต่ตอนนี้ไม่เล่นแล้ว)

ข้อควรจำ: “Used to” สามารถใช้กับทั้งการกระทำและสถานการณ์ที่เคยเป็นอยู่ในอดีต แต่ไม่ได้ทำอีกแล้วในปัจจุบัน

ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองคำที่เห็นได้ชัดเจน คือWould ใช้กับการกระทำที่เป็นนิสัยในอดีต (ไม่สามารถใช้กับสถานการณ์ที่คงที่) แต่Used to ใช้ได้กับการกระทำที่เคยเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ไม่ทำ หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวเปลี่ยนชีวิตได้จริง

ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก ภาษาอังกฤษจึงไม่ใช่แค่ทักษะพิเศษ แต่กลายเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ทั้งเรื่องงาน การเรียน การเดินทาง หรือแม้แต่การสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติ หลายคนอาจเคยพยายามเรียนภาษาอังกฤษผ่านคอร์สต่างๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าพูดไม่คล่อง หรือขาดความมั่นใจ

ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจต่อการ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัว เพราะนอกจากจะเรียนได้จากที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปไหนแล้ว ยังสามารถเลือกเวลาที่สะดวก และเรียนกับครูที่เหมาะกับตัวเองได้ด้วย จุดเด่นที่สำคัญคือ เรียนแบบมีคนสอนตัวต่อตัว ทำให้เข้าใจได้ง่าย พูดได้เร็วขึ้น และกล้าลองผิดลองถูกโดยไม่ต้องอายใคร

เปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร?

1.สมัครงานกับบริษัทต่างชาติได้ 

ทุกวันนี้หลายบริษัท โดยเฉพาะองค์กรใหญ่หรือบริษัทที่มีคู่ค้าต่างชาติ ต้องการคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แม้จะไม่ได้เก่งขั้นเทพ แต่แค่พูดสื่อสารในที่ประชุมหรือเขียนอีเมลได้ถูกต้อง 

2.เรียนต่อต่างประเทศง่ายขึ้น 

ถ้าฝันอยากไปเรียนต่างประเทศ การสอบ IELTS หรือ TOEFL คือด่านแรกที่ต้องผ่าน การเรียนตัวต่อตัวจะช่วยให้เราพัฒนาทักษะฟัง-พูด-อ่าน-เขียนแบบครบด้าน โดยเฉพาะเรื่องการพูดและฟัง ซึ่งมักเป็นจุดอ่อนของคนไทย ครูสามารถช่วยฝึกเจาะจุดเฉพาะที่เรายังไม่คล่อง 

3.เดินทางต่างไปประเทศ 

หลายคนมีประสบการณ์เที่ยวต่างประเทศต้องมีแอพแปลภาษาหลากหลายแอพ เพราะกลัวพูดไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเราสื่อสารพื้นฐานได้ เช่น ถามทาง สั่งอาหาร หรือคุยกับคนท้องถิ่น เที่ยวจะสนุกขึ้นเยอะ ไม่ต้องพึ่งไกด์ และยังรู้สึกมั่นใจในทุกการเดินทาง

4.มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ 

ภาษาอังกฤษคือกุญแจที่เปิดประตูไปสู่โลกกว้าง ลองคิดดูว่าแค่เราสามารถพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติในโซเชียลมีเดียได้ นอกจากได้ฝึกภาษาแล้ว ยังช่วยให้เรามองโลกต่างออกไป เข้าใจวัฒนธรรมใหม่ๆ และเปิดใจรับอะไรใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

5.การทำธุรกิจระหว่างประเทศ 

สำหรับคนที่อยากขยายธุรกิจ เช่น ขายของออนไลน์ ส่งออกสินค้า หรือทำ dropship ภาษาอังกฤษคือทักษะสำคัญที่สุด เพราะคุณจะต้องเจรจากับลูกค้าหรือคู่ค้าชาวต่างชาติ ถ้าเข้าใจภาษา อ่านสัญญาเป็น หรือสื่อสารได้ชัดเจน ก็ช่วยลดความผิดพลาดและสร้างความน่าเชื่อถือได้มาก

ทำไม Engcouncil ถึงเป็นตัวเลือกของคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ

ในยุคที่การสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกลายเป็นทักษะที่สำคัญในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การศึกษาต่อ หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยว การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สำหรับคนที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง Engcouncil  ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง อ่าน หรือเขียน ที่สำคัญคือบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง ไม่กดดัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกผ่อนคลายและกล้าแสดงออกมากขึ้น ทำให้ Engcouncil เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเกงภาษาอังกฤษ