Past/Present/Future Tense ใช้ต่างกันอย่างไร? สรุปเข้าใจง่ายๆสำหรับผู้เริ่มต้น

Past/Present/Future Tense ใช้ต่างกันอย่างไร? สรุปเข้าใจง่ายๆสำหรับผู้เริ่มต้น

Past/Present/Future Tense ใช้ต่างกันอย่างไร? สรุปเข้าใจง่ายๆสำหรับผู้เริ่มต้น

ทำไม Past, Present, Future ถึงใช้ต่างกัน? หลายคนเรียน Tense มานานแต่ยังรู้สึกว่า“มันต้องจำเยอะจัง…จำให้ถูกก็ยากแล้ว ยังต้องเลือกใช้ให้ตรงอีก?” แต่ความจริงแล้วระบบ Tense ของภาษาอังกฤษ ไม่ได้ซับซ้อนเพราะไวยากรณ์ แต่ซับซ้อนเพราะ เจ้าของภาษาใช้ “การมองเวลา (time perspective)” ในการสื่อสาร ซึ่งถ้าเข้าใจมุมมองนี้ ทุก Tense จะง่ายขึ้นมาก มาดูแบบเป็นระบบกันค่ะ

1) Past: มองย้อนกลับ + เหตุการณ์ที่ปิดจบแล้ว (Closed Timeline)

Past Tense ไม่ได้แค่บอกว่า “เกิดในอดีต” แต่สื่อว่า เหตุการณ์นั้นปิดไปแล้ว ไม่ได้มีผลอะไรกับปัจจุบัน

หลักการของ Past

  • ผู้พูด “แยกตัวเองออก” จากเหตุการณ์นั้น
  • เน้นเรื่อง “ความสมบูรณ์” หรือ “การปิดท้ายของเหตุการณ์”
  • ใช้เล่าเรื่อง, เล่าประสบการณ์, หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงหนึ่ง

ตัวอย่าง

  • I lived in Chiang Mai. เคยอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
  • He broke his phone yesterday. โทรศัพท์พังแล้ว จบไปแล้ว

✨ จุดที่ผู้เรียนสับสน ชอบใช้ Past กับเหตุการณ์ที่ “ยังส่งผลถึงตอนนี้” แต่จริง ๆ ควรใช้ Present Perfect เช่น

❌ I lost my key. (เหมือนบอกว่าเรื่องจบแล้ว)

✔ I have lost my key. (ผลคือ “ตอนนี้” ยังคงหาไม่เจอ)

2) Present: ความจริงตอนนี้ + สิ่งถาวร + สิ่งที่เกิดซ้ำ (The Now & Timelessness)

Present Tense กว้างกว่าที่คิด มันไม่ได้สื่อแค่ “ตอนนี้” แต่รวมถึงความจริงถาวร สิ่งที่เป็นนิสัย สิ่งที่เกิดเป็นประจำ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ สถานการณ์ที่กำลังเกิดตอนนี้ (Present Continuous)

หลักการของ Present

  • เป็นข้อมูลที่ “เป็นจริงในทั่ว ๆ ไป”
  • ไม่ผูกกับช่วงเวลาเฉพาะ
  • ใช้บอกความเป็นจริงในชีวิต ณ ขณะหนึ่ง

ตัวอย่าง

  • Water boils at 100°C. ความจริงถาวร
  • I work from home. ความจริงของชีวิต
  • She is cooking now. เหตุการณ์กำลังเกิด (continuous)

✨ จุดที่ผู้เรียนสับสน ทำไม “รูป Present” ถึงใช้กับ “อนาคต”? เช่น

  • The train leaves at 7 AM. เพราะเป็น “ตารางเวลา” (สิ่งแน่นอน ไม่เปลี่ยนง่าย)

3) Future: ความตั้งใจ + การคาดเดา + การวางแผน (Looking Forward)

ในภาษาอังกฤษ “อนาคต” ไม่ได้มีแค่ will แต่มีหลายรูปแบบตาม “ท่าทีของผู้พูด” (speaker’s attitude)

หลักการของ Future

  • Will = ตัดสินใจทันที / ทำนายอนาคต
  • Be going to = ตั้งใจไว้ก่อนแล้ว / มีหลักฐานว่ากำลังจะเกิด
  • Present Continuous (future) = มีนัดหรือแผนที่ยืนยันแล้ว
  • Present Simple (future) = ตารางเวลา/กำหนดการที่เปลี่ยนยาก

ตัวอย่าง

  • I’ll open the window. ตัดสินใจตอนนี้
  • I’m going to start a course. วางแผนไว้แล้ว
  • She is meeting the manager tomorrow. นัดหมายชัดเจน
  • The flight departs at 6. ตารางเวลา

✨ จุดที่ผู้เรียนสับสน ทุกอย่างแปลว่า “จะ” แต่ความต่างคือ

➡ เจ้าของภาษาต้องการบอก “ระดับความมั่นใจ” หรือ “ความพร้อมของแผน”

ถ้าอยากพัฒนาให้คล่องขึ้น และอยากมีคนสอนให้เข้าใจแบบเป็นขั้นตอน คอร์สของเราช่วยคุณได้ค่ะ เพราะเราเน้นสอนหลักการคิดมากกว่าการจำสูตร เพื่อให้คุณนำไปใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์ พร้อมอัปเกรดภาษาอังกฤษของคุณแล้วหรือยังคะ 😊