รู้จักศัพท์ภาษาอังกฤษแบบบริทิช vs. อเมริกัน: ความหมายเดียวแต่ใช้คนละคำ!

เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษแบบบริทิชและอเมริกัน ศัพท์ไหนใช้แบบไหน ความหมายต่างกันหรือไม่ เข้าใจง่ายๆ กับตัวอย่างคำศัพท์ที่ใช้ต่างกัน พร้อมคำแนะนำในการเลือกใช้ให้เหมาะสม

รู้จักศัพท์ภาษาอังกฤษแบบบริทิช vs. อเมริกัน: ความหมายเดียวแต่ใช้คนละคำ!

            Water ที่สามารถอ่านออกเสียงว่า [วอ-เดอะ] หรือ [วอ-เทอะ] มักจะนำมาใช้เปรียบเทียบบ่อยๆ แสดงถึงสำเนียงการใช้ภาษาอังกฤษที่คำเดียวกันแต่ออกเสียงต่างกัน ถ้าใครเคยดูหนังฝรั่งบ่อยๆ จะรู้ดีว่าแม้จะใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่คำศัพท์ที่ใช้เรียกแต่ละอย่างนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียง หรือการสะกดคำ หรือแม้แต่ความหมายของคำ ซึ่งนี้ก็เป็นเพราะอิทธิพลการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน และในไทยอิทธิพลของการใช้ภาษาอังกฤษก็มักมาจากประเทศอังกฤษ และประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา เป็นที่มาของบทความในวันนี้

ภาษาอังกฤษแบบบริทิชและภาษาอังกฤษแบบอเมริกันคืออะไร?

  • ภาษาอังกฤษแบบบริทิช (British English)

ภาษาอังกฤษแบบบริทิชเป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ รวมทั้งประเทศในเครืออื่นๆ อย่างแคนนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาณานิคมส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร สำนวนนี้มีรากฐานมาจากการใช้ภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษ จึงถือเป็นสำนวนต้นแบบหรือต้นตำรับของภาษาอังกฤษ

  • ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English)

ในทางกลับกัน ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันนั้นได้รับการพัฒนาและแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ชาวอังกฤษได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนแถบนี้ในช่วงศตวรรษที่ 17 แม้จะมีรากฐานมาจากภาษาอังกฤษเดียวกัน แต่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาของชนพื้นเมืองอเมริกันและภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อพยพเข้ามาในภายหลัง ทำให้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามกาลเวลา

ศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความแตกต่างระหว่างสองสำนวน

ในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น เราอาจพบความแตกต่างระหว่างสองสำนวนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียง การเขียนสะกด หรือแม้แต่ความหมายของคำบางคำ วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างของคำศัพท์ที่มีการใช้แตกต่างกันในสองสำนวนกันบ้าง

ตัวอย่างคำศัพท์ที่มีความแตกต่างกันในการเขียนสะกด

  • Colour (บริทิช) vs. Color (อเมริกัน)
  • Behaviour (บริทิช) vs. Behavior (อเมริกัน)
  • Favourite (บริทิช) vs. Favorite (อเมริกัน)
  • Theatre (บริทิช) vs. Theater (อเมริกัน)
  • Realise (บริทิช) vs. Realize (อเมริกัน)

จะเห็นว่าฝั่งอเมริกันมักจะตัดตัว U ออก และในส่วนของตัวสะกดลงท้ายที่ตามมาด้วย s จะเปลี่ยนเป็นตัว Z ซึ่งนี้ก็ถือว่ามีผลต่อการออกเสียงในแง่ของสำนวนเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างคำศัพท์ที่มีความแตกต่างกันในความหมาย

  • Chips (บริทิช) หมายถึง เฟรนช์ฟรายส์ แต่ Chips (อเมริกัน) หมายถึง มันฝรั่งทอดกรอบ
  • Biscuit (บริทิช) หมายถึง คุกกี้หรือขนมขบเคี้ยว แต่ Biscuit (อเมริกัน) หมายถึง ขนมปังนุ่มๆ ชนิดหนึ่ง
  • Rubber (บริทิช) หมายถึง ยางยืด แต่ Rubber (อเมริกัน) หมายถึง ถุงยางอนามัย
  • Pants (บริทิช) หมายถึง กางเกงชั้นใน แต่ Pants (อเมริกัน) หมายถึง กางเกงขายาว
  • Flat (บริทิช) หมายถึง อพาร์ตเมนต์ แต่ Flat (อเมริกัน) หมายถึง แบน ราบเรียบ

หรืออาจจะเป็นพวกคำศัพท์อย่างในอังกฤษ Lorry คือรถบรรทุก แต่อังกฤษแบบอเมริกันคือ Truck เป็นต้น

ทำไมจึงมีความแตกต่างกันในภาษาอังกฤษ? 

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมภาษาอังกฤษจึงมีความแตกต่างกันในสองสำนวนนี้? ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์และการแพร่กระจายของภาษา

หลังจากที่ชาวอังกฤษได้อพยพไปตั้งรกรากในดินแดนอเมริกา ภาษาอังกฤษที่ใช้ในแถบนั้นก็เริ่มมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งานของผู้คนในท้องถิ่น ประกอบกับการรับเอาอิทธิพลจากภาษาอื่นๆ ที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อพยพเข้ามาในภายหลัง ทำให้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากต้นแบบเดิมของภาษาอังกฤษแบบบริทิชมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ การมีสถาบันและหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานการใช้ภาษาในแต่ละประเทศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เช่น ในสหรัฐอเมริกามี Merriam-Webster ทำหน้าที่รักษามาตรฐานการใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ขณะที่ในสหราชอาณาจักรมี Oxford English Dictionary เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของภาษาอังกฤษแบบบริทิช ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เกิดความแตกต่างกันในการบัญญัติศัพท์หรือกำหนดหลักเกณฑ์ทางภาษาขึ้นมา

เลือกใช้สำนวนไหนดี?

ถ้าต้องเลือกใช้สำนวนภาษาอังกฤษระหว่างแบบบริทิชหรือแบบอเมริกัน ขอแนะนำให้เลือกใช้ตามกลุ่มเป้าหมายหรือบริบทของการสื่อสาร อย่างเช่น

  • หากต้องการสื่อสารกับคนในประเทศอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ให้ใช้ภาษาอังกฤษแบบบริทิช
  • หากต้องการสื่อสารกับคนในสหรัฐอเมริกา ให้ใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันที่การสื่อสารระหว่างประเทศมีมากขึ้น การใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันก็มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมและการยอมรับมากกว่า เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกามีบทบาทนำในด้านเศรษฐกิจ, การค้า, ภาพยนตร์และสื่อบันเทิง จึงทำให้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมีอิทธิพลและแพร่หลายไปทั่วโลกมากขึ้น

สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อได้เลือกสำนวนการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว ให้ใช้อย่างสม่ำเสมอและสอดคล้องกันตลอดทั้งเนื้อหา อย่าปะปนกันไปมาระหว่างสองสำนวน เพื่อไม่ให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังสับสน นอกจากนี้ ควรศึกษาให้เข้าใจในรายละเอียดของแต่ละสำนวน เพื่อใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

การเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษแบบบริทิชและภาษาอังกฤษแบบอเมริกันนั้นมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งในด้านการเขียนและการสนทนา ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้สำนวนไหน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างและใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งเนื้อหา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและไม่สร้างความสับสนให้กับผู้รับสารด้วยเช่นกัน